วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Narathon Des Sables

ทะเลทรายที่ไกลสุดขอบฟ้า ที่ผู้แข่งขันต้องเดินฝ่าความกลัวไปด้วยความกล้าเท่านั้น

ไมล์ จับคู่กับเจฟฟรีย์ พี่ชายของเขาเข้าร่วมรายการนี้ แต่แล้วก็เกิดอุปสรรคตั้งแต่ยังไม่เริ่มการวิ่งแม้แต่ก้าวเดียว

เพราะเขาบังเอิญหยิบยาผิด เอายาที่ผิดประเภทมาทาที่เท้าทั้งสองข้างเมื่อเขาถอดถุงเท้าออกมาในวันรุ่งขึ้น ผิวหนังของเท้าก็ลอกออกมาเป็นแผ่นๆทันที เขาเจ็บที่เท้าเป็นอย่างมากเขาก้าวเท้าเดินแทบไม่ไหว ในขณะเดินไปที่จุดสตาร์ท แต่พี่ชายของเขาได้ให้กำลังใจและบอกกับเขาว่า

ตราบใดที่เรายังหันไปถูกทางทุกๆก้าวมีความหมาย เราต้องเดินก้าวไป ไมล์จึงพยายามฝืนเดินหน้าต่อไป แต่ทุกๆก้าวนั้นยิ่งสร้างความเจ็บปวด จนคณะแพทย์ที่คอยดูแลการแข่งขัน ต้องบอกว่าเขาสมควรจะหยุด ล้มเลิกการแข่งขันได้แล้ว เพราะถ้าฝืนเดินต่อไปเขาอาจจะตายได้ แต่เขาไม่ยอมและยังแสร้งหลอกคณะแพทย์พวกนั้นว่า เขายังไหว หมอนั่นแหละคิดผิด หมอชอบคิดแบบคนตาดีโดยทั่วไปที่ขี้กลัวทุกเรื่อง และที่สำคัญหมอจะมารู้ตัวดีกว่าตัวเขาเองได้อย่างไร

เขาจึงตัดสินใจวิ่งหนีหมอ เขาเริ่มวิ่งเร็วขึ้น เป็นการวิ่งไล่จับของคนตาดีกับคนตาบอด

เป็นการวิ่งไล่จับกันระหว่างความกล้าที่วิ่งนำหน้าความกลัว ในที่สุดเขาก็วิ่งหนีมือหมอพ้น แต่เพราะความรีบ และร้อนรนมากเกินไปที่จะไม่ให้หมอจับตัวได้ ทำให้เขาสะดุดกับก้อนหินใหญ่ก้อนนึง ผลของมันก็คือสะบ้า หัวเข่าของไมล์ ฉีก และเลือดอาบเต็มหน้า

แต่ไมล์ ยังไม่ยอมแพ้ เมื่อเขาวิ่งต่อไปไม่ไหว เขาก็ก้มลงคลาน คลานทีละคืบทีละคืบ มีหลายคนวิ่งผ่านไปในขณะที่เขาก้มลงคลานอยู่ แต่เขาก็ไม่เคยสนใจเหมือนกับการแข่งขัน เพื่อถึงจุดเป้าหมายของชีวิต หลายคนวิ่งแบบสบาย หลายคนล้มเลิกลงกลางคันหลายคนวิ่งผิดเส้นทาง และหลายคนต้องใช้หลายสิ่งหลายอย่าง ผสมปนเปกันไป หรือแม้แต่คลาน

และในที่สุดเขาก็ถึงเส้นชัย ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนที่เฝ้าดู ร้อยละ 90 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเรียกว่าจับตาดูก็ได้ว่า เขาสองคนพี่น้องตาบอด จะคลานข้ามเส้นชัยได้หรือไม่ เขาเข้าทีหลังคนเข้าที่หนึ่งหลายร้อยคน แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรของคนที่เฝ้าดู พวกเขาล้วนชื่นชมความแข็งแกร่งของหัวใจ ของคนทั้งคู่มากกว่าในการแข่งขันครั้งนั้น เขาเรียนรู้ว่า ไม่ว่าสถาณการณ์ข้างหน้าจะเลวร้ายแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาตัดสินใจพลาดจงเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ จงฝันแล้วจงฝันๆๆลงมือและก็ลงมือ วางแผนแล้วก็อดทนแล้วเขาจะทำสำเร็จในทุกเรื่อง

หลังจากนั้น เขายังทำเรื่องที่ท้าทายเหนือชั้นขึ้นไปอีก เขาตัดสินใจจะไปปินยอดเขาเอเวอร์เรต ในการคิดใหญ่ขนาดนี้เขาต้องการคนช่วยฝึกและนำทาง เขาจึงพยายามเสาะหาดั้นด้นหา ผู้เชี่ยวชาญและในที่สุดเขาก็พบคนคนนั้น และโทรศัพท์ไปพูดคุยและนี่คือบทสนทนาในวันนั้น

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2552


มาอ่านต่อจากตอนที่แล้วค่ะ

ความบ้าและโง่ของเจฟฟรีย์ กลับกลายเป็นไฟแห่งความฝัน เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ผลักดันให้ไมล์ ผู้เป็นน้องชายได้ข้ามออกจากความมืด ที่เขากลัว จนคุ้นเคย
เพราะเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อนี้ ไมล์ จึงตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขัน วิ่งมาราธอน ข้ามทะเลทรายซาฮารา ซึ่งถือกันว่า สุดโหดมากที่สุด ซึ่งคนตาดียังต้องถอดใจ และต้องถอยหลังแค่นั้นยังไม่พอไมล์ ยังเข้าร่วม การแข่งขันที่สุดโหดมากยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็คือรายการ Narathon Des Sables ซึ่งแปลเป็นภาษา ฝรั่งเศส ว่า มาราธอนในทะเลทราย
ทะเลทรายที่ไกลสุดขอบฟ้า ที่ผู้แข่งขันต้องเดินฝ่า ความกลัวไปด้วยความกล้าเท่านั้น

ยอดภูเขานั้น มีไว้ให้พิชิต




มีบทความอยู่ 1 บทความเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก หลายคนช่างเปรียบเปรยว่ายอดภูเขานั้นมีไว้ให้ปีนป่ายมีไว้ให้พิชิต และความรู้สึกของคนที่พิชิตนั้นบอกว่า
บนยอดภูเขานั้นเปรียบเหมือนดินแดน แห่งสวรรค์เป็นสุดยอดมหัศจรรย์
สุดพิเศษมากกว่า ที่แห่งใดในโลก.......
ยังเปรียบเปรยอีกต่อไปว่าความสำเร็จของคนนั้นเหมือนกับการปีนภูเขาที่มีเส้นทางที่ต้องเดินผ่าน แต่ละจุด แต่ละก้าวนั้นคือ ข้อพิสูจน์ถึงแรงมุ่งมั่น
แรงศรัทธาอันแรงกล้า ที่จะฟันฝ่าอุปสรรคทั้งมวล แต่ถ้าใครตัดสินใจที่จะปีนป่ายภูเขาอันสูงชันนั้ แต่ไม่สำเร็จ
เราจะเรียกคนเหล่านั้นว่าอะไรดี ไอ้ขี้แพ้ ไอ้คนล้มเหลว ไอ้คนฝันเฟื่อง ฯลฯ อย่างงั้นหรือ ลองอ่านเรื่องนี้ดูก่อน ก่อนที่จะตัดสินใครหรือตัดสินใจ ในเรื่องที่ยังไม่กล้าทำในชีวิต
ไมล์ ฮิลตันบาร์เบอร์ เป็นคนธรรมดาสามัญที่บังเอิญเกิดมามีพ่อเป็นนักบินในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังเกษียณ พ่อของเขาลาออกจากการเป็นทหารและต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการ องค์การบินพลเรีอนของซิมบับเว ซึ่งดูดีและยอดมากๆ ในสายตาของเด็กในวัยเขา
ในความฝันของเขานั้นจึงมีพ่อเป็นฮีโร่ในใจและเขาฝันว่าสักวันหนึ่งเมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นนักบิน ที่สำคัญเขาจะต้องบินข้ามโลกกว้างนี้ให้จงได้
ดังนั้นในช่วงวัยเด็ก ในชีวิตของ ไมล์ นั้น ปีนขึ้นและปีนลงและมีเพื่อนเล่นเป็นเครื่องบินอันใหญ่โตเขาเติบโตท่ามกลางความฝันที่ยิ่งใหญ่ห้อมล้อมอยู่
แต่แล้วในวันหนึ่ง เมื่อเขาอายุ 30 ปีความฝันที่เขาฝันมาตลอดหลายปีก็ได้แตกสลายลงอย่างฉับพลัน เมื่อเขาพบว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้เป็นนักบินแน่นอน
เพราะเขากำลังจะเป็นคนตาบอด และทุกคนเชื่อกันว่า ไม่มีคนตาบอดคนไหนในโลกนี้ จะบินข้ามโลกได้มันเป็นเรื่องที่มีแต่ในนิทาน ที่คนช่างฝันแต่งขึ้นมาเท่านั้น
เอาเพียงแค่ขับเครื่องบินได้ก็เป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อและเป็นไปไม่ได้และโรคตาบอดของเขานั้นเกิดมาจาก กรรมพันธ์และในครอบครัวเขาก็ยังมีพี่ชายอีกคนหนึ่งที่ตาบอดเหมือนกัน
ชีวิตของไมล์หลังจากนั้นเลยตกในโลกแห่งความมืดมิด และหมดสิ้นความฝันเขาใช้ชีวิตแบบปล่อยไปตามชะตากรรมเหมือนคนตาบอดทั่วไป
เพราะคิดอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนที่ไม่เหมือนใคร มีข้อจำกัดมากมายในการที่ทำอะไรได้เหมือนกับคนตาดี และเชื่อว่าคนตาบอดอย่างเขาจะมีโอกาสอะไรดีดีในชีวิตอีก แค่เดินได้ก็บุญโขแล้ว
มีคนเคยพูดกับเขานั้นว่าการมองไม่เห็นนั้น เป็นเรื่องที่โหดร้ายมากที่จะเกิดกับใครซักคนซึ่งสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า คนตาดีนั้นมีความรู้สึกต่อการมองไม่เห็นว่า
...............มันเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงต่อการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้.............
แต่สำหรับ ไมล์ นั้น เขาเองก็คิดอย่างนั้นเช่นกันเขาจึงจมอยู่กับความ มืดและความกลัวความไม่กล้าอยู่ 14 ปี แต่เมื่อเขาเจอกับพี่ชายที่ตาบอด เช่นกัน ความคิดแย่ๆที่ลบแสนลบได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พี่ชายตาบอดได้มาบอกกับไมล์ ว่าเขาได้ตัดสินใจ ที่จะเล่นเรือยอชน์ที่ต่อเองจากเมือง เดอวอน ที่ประเทศแอฟฟริกาใต้
เพื่อแล่นข้ามสมุทรไปยังออสเตรเลีย
และที่สำคัญเขาจะเดินทางอันแสนหฤโหดนี้ไปโดยตามลำพัง โดยที่ไม่มีลูกเรือเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งหลายคนบอกว่า แจฟฟรี่นั้นทั้งบ้าและสุดแสนจะโง่ๆๆๆๆๆ หรือซุปเปอร์ โง่
แต่เจฟฟรีได้บอกกับ ไมล์ ว่า คนทั่วไปมักสร้างกำแพงรอบๆตัวเราตีกรอบจำกัดตัวเอ ง แต่กำแพงพวกนี้นั้นมักเกิดจากความกลัวจากสิ่งที่เปราะปรางที่เราสามารถทลายลงได้ เพื่อทำในสิ่งที่ทุกคนบอกว่า ไม่มีทางทำได้
ในที่สุดเจฟฟรีก็ได้ออกเดินทางข้ามมหาสมุทรเพียงลำพังท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ท่ามกลางความคาดเดาต่างๆนาๆ
ของผู้ที่พร้อมจะซ้ำเติม เขาเกือบตายเพราะจมน้ำตั้งหลายสิบครั้งแต่เขาก็เอาชีวิตรอดมาได้ สิ่งที่ช่วยเขาไว้ไม่ใช่สิ่งวิเศษ หรือสิ่งมหัศจรรย์ใดใด
แต่มันมาจากหัวใจของเขาเอง หัวใจที่เป็นก้อนเนื้อแค่กำปั้นเล็กๆเหมือนของคนทุกคนในที่สุด เขาได้ถึงชายฝั่งออสเตรเลียจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ
และเป็นคนตาบอดคนแรก และคนเดียวที่ทำได้ในสิ่งที่ทุกคนหวาดกลัว
ตราบใดที่เรายังหันไปถูกทาง
ทุกๆก้าวมีความหมาย
และเราต้องเดินก้าวไป........
ยังไม่จบนะคะ ค่อยมาติดตามต่อในตอนที่สอง ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

มนุษย์ไม่ได้เกิดมา...เพื่อ...แพ้

หลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว หลายล้านคนตกงาน ชีวิตก็ต้องตกอยู่ในความมืดมน หลายคนลุกขึ้นสู้
แต่อีกหลายคนไร้วิญญาณ นอนโทษชะตาฟ้าดินที่กลั่นแกล้ว ขอยกตัวอย่าง คนที่แพ้แล้วสู้ แล้วเขาก็ประสบความสำเร็จ
คุณเคยจำคนบางคนได้มั้ย
คนที่ชื่อ ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ เขาเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ มองการไกล ฐานะดีเขากำลัง
ก้าวเข้าไปเป็นคนที่เข้มแข็งของเมืองไทยทางด้านการเงิน
ต่อมามีการลดค่าเงินบาททำให้เขาล้มเหลวไม่เป็นท่าทรัพย์สินที่มีอยู่หายวับไปกับตา พร้อมทั้งหนี้สินก้อนมหึมา

แต่ หลายวันต่อมาคนแถวสีลมเห็นเขาในชุดใหม่สีเหลืองยืนขายแซนด์วิชชิ้นละ 20บาทถอดชุทสูททิ้งสวมหมวกปีกอ้อมกอดมีลังเล็กๆ
ความงุนงง ของคนที่พบเห็นจึงมากระจ่างเมื่อเขาบอกทุกคนว่า

ในวันที่ฟ้าปิดชีวิตเขายังมีแสงสว่างเล็กๆ คือ ภรรยา และลูก เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เขารักและรักเขาทั้งนั้น
ที่ส่องเข้ามาใน หัวใจ ตอนนั้นเล็กกว่ามดตัวน้อยเสียอีก ทำให้เขาอบอุ่นและยิ้มสู้ชีวิตอีกครั้ง

มนุษย์ไม่ได้เกิดมา...เพื่อ...แพ้

สู้..เพื่อ กอบกู้ความเป็นคน

สู้เพื่อ.ชีวิต.....

สู้.เพื่อคนที่.....เรารัก....

คนเราทุกคนเกิดมาเพื่ออะไรใครจะรู้บ้าง มันอาจจะมีหลายความหมายที่ยากเกินกว่าจะกล่าวได้.
เกิดมาแล้วจะทำอะไรให้คุ้มค่า กับชีวิตที่ดำเนินอยู่ แบบนี้น่าจะตอบได้ง่ายกว่านะ.......
เกิดมาต้องทำความดี เกิดมาอย่าทำความชั่ว จึงจะเป็นมนุษย์ จึงจะเป็นคน เกิดมาต้อง สู้ เป็นคนก็ต้องสู้ สู้เพื่อกอบกู้ความเป็นคน
สู้ เพื่อตัวเอง สู้เพื่อคนอื่น สู้เพื่อคนที่เรารัก และสู้ เพื่อคนที่รักเรา แล้วทำไมคุณจะยอมแพ้ได้ง่ายดายเล่า คุณจะยอมแพ้ กระนั้นหรือ
นี่คือบทความเพื่อเตือนใจสำหรับคนที่หมดหวัง หมดกำลังใจ ท้อถอยในชีวิต จ ะแพ้สักร้อยครั้งพันครั้ง ก็ไม่ถือว่าผิด แต่สิ่งที่ผิดยิ่งกว่า
...คือปล่อยให้ตัวเองแพ้...พ่ายแพ้ต่อทุกสิ่ง ไม่ได้แพ้เฉพาะกับคนอื่นอย่างเดียว แต่แพ้ตัวเองด้วย......เสียดาย...คุณค่าความเป็นคน...

มนุษย์ไม่ได้เกิดมา...เพื่อ...แพ้

สู้..เพื่อ กอบกู้ความเป็นคน



สู้เพื่อ.ชีวิต.....



สู้.เพื่อคนที่.....เรารัก....

ล้มได้....ก็ลุกขึ้นได้

ความยิ่งใหญ่ของคนไม่ได้อยู่ที่ว่า...........
ล้มมากี่ครั้ง...แต่.....มันอยู่ที่การล้มทุกครั้ง..
ก็ลุกกลับขึ้นมาชนะได้ทุกครั้ง..

ล้มได้ก็ลุกขึ้นได้

ความยิ่งใหญ่ของคนไม่ได้อยู่ที่ว่าล้มมากี่ครั้ง

แต่มันอยู่ที่ การล้มทุกครั้ง ก็พยายามลุกกลับมาได้ชนะทุกครั้ง

ทุกปัญหาทุกวิกฤติชีวิตมีไว้ให้เราแก้ไขถ้าเราไม่กล้าลุกขึ้นชีวิตก็ ไม่ก้าวเดินต่อไปจงลุกขึ้นมาอีกครั้ง

เพื่อสิ่งที่งดงามของชีวิต